ซาราห์ ร็อตแมน เอปส์ (Sarah Rotman Epps) นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยฟอร์เรสเตอร์ รีเสิร์ช (Forrester Research) ประเมินว่าแท็บเล็ตอเมซอนจะสามารถทำยอดขายได้ราว 5 ล้านเครื่องภายในไตรมาส 4 ปีนี้ และอาจทำสถิติเป็นผู้จำหน่ายแท็บเล็ตระบบแอนดรอยด์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก
เอปส์นั้นมีดีกรีเป็นคนแรกที่พยากรณ์ว่ายักษ์ใหญ่โลกค้าปลีกออนไลน์จะเปิดตัวแท็บเล็ต โดยเมื่อเดือนมี.ค. 54 เอปส์ตั้งข้อสังเกตว่าอเมซอนจะสามารถไปได้ดีบนตลาดแท็บเล็ต เพราะอเมซอนจะตั้งราคาไว้ต่ำกว่า 300 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 9,000 บาท) และจะไม่มีปัญหาสินค้าขาดตลาดเพราะอเมซอนจะวางแผนไว้อย่างดี กระทั่งวอลสตรีทเจอร์นอลเริ่มรายงานข้อมูลแท็บเล็ตอเมซอนว่าจะใช้หน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว แต่อาจไม่มีกล้องดิจิตอลติดมาด้วย มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android Honeycomb คาดว่าจะสามารถวางตลาดในเดือนตุลาคมนี้
รายงานของวอลสตรีทเจอร์นอลและฟอร์เรสเตอร์ รีเสิร์ชนั้นตรงกัน เพราะทั้ง 2 เชื่อว่าอเมซอนจะเล่นสงครามราคาบนความสามารถในการดาวน์โหลดคอนเทนต์ต่างๆ จากเว็บอเมซอนชนิดรวดเร็วและสะดวกสบาย โดยที่เครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์อย่างคินเดิล (Kindle) จะยังคงทำตลาดต่อไป
ไม่เพียงแข่งกับไอแพด นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าอเมซอนจะคลอดแท็บเล็ตมาเพื่อยกระดับธุรกิจจำหน่ายคอนเทนต์ของอเมซอนเอง โดยคาดว่าผู้ใช้แท็บเล็ตอเมซอนจะสามารถซื้อแอปพลิเคชันจากร้านแอนดรอยด์แอปสโตร์ (Android Appstore) ของอเมซอนได้สะดวก เช่นเดียวกับสามารถซื้อภาพยนตร์จากบริการอินสแตนท์ วิดีโอ (Amazon Instant Video) รวมถึงดาวน์โหลดเพลง MP3 จากบริการอเมซอนคลาวด์เพลเยอร์ (Amazon Cloud Player) ซึ่งเป็นบริการฝากข้อมูลสำหรับใช้บนแท็บเล็ตและอุปกรณ์อื่น
ทั้งหมดนี้ทำให้เอปส์เชื่อว่าอเมซอนจะสามารถจำหน่ายแท็บเล็ตในราคาต่ำกว่า 300 เหรียญสหรัฐ สอดคล้องกับนักวิเคราะห์ ทิม บาจาริน (Tim Bajarin) จากบริษัทครีเอทีฟสเตรดิจี้ส์ (Creative Strategies) ที่เชื่อว่าแม้ต้นทุนการผลิตแท็บเล็ตของอเมซอนจะมีราคาไม่ต่ำกว่า 300 เหรียญ แต่อเมซอนจะลดราคาลงได้มากกว่า 51 เหรียญเพื่อล่อใจผู้บริโภค เพราะอเมซอนสามารถดึงรายได้จากโฆษณามาทดแทน รวมถึงกำไรจากบริการเช่าภาพยนตร์ ดาวน์โหลดเพลง ขายหนังสือ และการซื้อแอปฯ อื่นๆที่จะตามมา
นักวิเคราะห์มั่นใจว่า อเมซอนจะออกแบบให้การซื้อแอปฯ บนแท็บเล็ตผ่านบริการของอเมซอนทำได้ในคลิกเดียว โดยส่วนลด 51 เหรียญที่อเมซอนลดราคาไปจะคืนทุนได้ในเวลา 6 เดือนเท่านั้น และคาดว่าจะทำกำไรให้อเมซอน 10-30% ในช่วงเวลา 18 เดือนหลังจากที่อเมซอนลดราคาไป
อีกจุดที่น่าสนใจคือ อเมซอนจะไม่ประชาสัมพันธ์แท็บเล็ตในฐานะแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Honeycomb เพื่อสร้างความต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งอย่าง Barnes & Noble ซึ่งจะมีแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ออกมาทำตลาดเช่นกัน แต่จะเน้นให้ผู้ซื้อใช้บริการแอปฯ แอนดรอยด์ทั่วไปเป็นหลัก รวมถึงจุดยืนที่แตกต่างจากแท็บเล็ตแอนดรอนด์แบรนด์ Samsung, Motorola, Asus, Acer, Toshiba และอื่นๆ
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น