“เดลล์” จัดทัพพร้อมรบ 6 แท็บเล็ต 3 สมาร์ทโฟน

ในเมื่อเทรนด์การใช้พีซียุคหน้าคือการใช้งานคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตร่วมกับสมาร์ทโฟน จึงไม่น่าแปลกใจหากยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พีซีอย่างเดลล์ (Dell) จะเตรียมจัดทัพ 6 แท็บเล็ตรุ่นใหม่ และ 3 สมาร์ทโฟนเหนือชั้นลงชิงชัยในตลาด

ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลของสำนักข่าวต่างประเทศจากเอกสารซึ่งระบุว่ารั่วไหลมาจากบริษัท เดลล์ ที่น่าสนใจคือ ในเอกสารระบุว่าเดลล์จะพยายามคลอดแท็บเล็ตซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 (Windows 8) ให้ทันช่วงไตรมาสแรกของปี 2012

ก่อนหน้านี้ ซีอีโอของเดลล์ “ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell)” เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อครั้งประกาศผลประกอบการบริษัทฯ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยระบุเพียงว่าเดลล์มีแผนคลอดแท็บเล็ต 10 นิ้วภายในปีนี้ มาพร้อมระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รุ่นล่าสุดสำหรับแท็บเล็ตอย่าง Android 3.0 หรือ Honeycomb

ข้อมูลดังกล่าวตรงกับเอกสารซึ่งเว็บไซต์ WPCentral และ Android Central เผยแพร่ไว้โดยอ้างว่าเป็นแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของเดลล์ช่วงปี 2011 ถึงไตรมาสแรกปี 2012 โดยระบุว่า แท็บเล็ตรุ่นต่อไปของเดลล์ที่จะเปิดตัวช่วงเดือนเมษายนนี้ ในชื่อเรียก “Gallo” ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ Honeycomb อย่างที่ซีอีโอเดลล์ให้ข้อมูล

กลางปีช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน เอกสารระบุว่าเดลล์จะออกแท็บเล็ตอีกรุ่นในชื่อ “Rosemount” ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 7 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการปัจจุบันซึ่งไมโครซอฟท์กำลังทำตลาดอยู่ โดยจะมาพร้อมหน้าจอความละเอียดสูง HD ความละเอียด 1366 x 768 พิกเซล เป็นอย่างต่ำ

เข้าเดือนตุลาคม เดลล์จะเขย่าตลาดแท็บเล็ตแอนดรอยด์ Honeycomb อีกครั้งด้วย "Sterling" แท็บเล็ตซึ่งคาดว่าเดลล์จะส่งชิงชัยช่วงเทศกาลจับจ่ายปลายปี โดยจะเพิ่มคุณสมบัติใหม่ให้ Sterling ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ลายมือและอัปเดตระบบปฏิบัติการเดิมให้มีความสามารถมากขึ้น จุดนี้มีการใช้คำว่า MLK (Medialess License Kit) มาใช้กับผลิตภัณฑ์แอนดรอยด์ ทั้งที่ตามปกติ คำว่า MLK มักถูกใช้ในผลิตภัณฑ์ไมโครซอฟท์ โดยซีอีโอไมโครซอฟท์ก็ใช้คำนี้ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในงาน Mobile World Congress ว่าครึ่งปีหลังของปีนี้ ระบบปฏิบัติการวินโดวส์โฟนเซเว่น (Windows Phone 7) จะได้รับการอัปเดตให้รองรับการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (multitasking) การทำให้ผู้ใช้สามารถแบ่งปันเอกสารและเก็บเอกสารไว้ในบริการ Windows Live Skydrive ได้โดยตรง รวมถึงการควบรวมบริการทวิตเตอร์แบบเป็นเนื้อเดียว

เดือนกรกฎาคมจะเป็นเดือนที่เดลล์วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่ม MLK อื่นๆ โดยในเอกสารระบุว่าจะใช้ชื่อรุ่นว่า “Streak 7 MLK: Android” ซึ่งแปลว่าเดลล์จะออกแท็บเล็ตตระกูล Streak 7 นิ้ว ที่อัปเดตความสามารถในแอนดรอยด์ ก่อนจุดพลุปี 2012 ด้วยแท็บเล็ตแอนดรอยด์ Honeycomb อีก 2 รุ่น ในชื่อ "Opus One" และ “SilverOak”

ที่น่าสนใจคือ ในเอกสารระบุว่าเดลล์จะเปิดตัวแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 ในชื่อ “Peju” จุดนี้ทำให้มีการวิจารณ์ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ เนื่องจากแม้ปี 2012 จะเป็นปีที่ช้ากว่ากำหนดการออกวินโดวส์ใหม่ทุก 2 ปีของไมโครซอฟท์ (วินโดวส์ 7 นั้นเปิดตัวไปในฤดูใบไม้ร่วงปี 2009) แต่วินโดวส์ 7 ก็ใช้เวลาถึง 3 ปีในการพัฒนา

สำหรับวินโดวส์ 8 ซึ่งไมโครซอฟท์ยังมีงานอีกมากในการพัฒนา โดยเฉพาะการทำให้ระบบปฏิบัติการรองรับเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมชิปรุ่นใหม่ๆ ล้วนแปลว่าไมโครซอฟท์ต้องใช้เวลาในการทดสอบระบบมากกว่าเดิมอย่างน้อย 2 เท่า เท่ากับเดลล์อาจเปิดตัวแท็บเล็ตระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 ได้ไม่ทันงาน CES 2012 ซึ่งจะจัดขึ้นเดือนมกราคม ปีหน้า โดยมีโอกาสสูงที่จะได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ช่วงปลายปี 2012 แทน

สำหรับผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน คาดว่าสมาร์ทโฟนรุ่นถัดไปของปีจากเดลล์จะเริ่มลุยตลาดได้ในเดือนเมษายน โดยจะมีทั้งรุ่นที่เป็นแอนดรอยด์และวินโดวส์โฟน 7 ในเอกสารระบุว่า หนึ่งในนั้นจะเป็น Dell Venue Pro MLK ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์โฟน 7 ที่ปรับเพิ่มคุณสมบัติเรียบร้อย หลังจาก Venue Pro เริ่มวางจำหน่ายแล้วในขณะนี้

ช่วงเวลาที่เดลล์จะคลอดสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ถอดด้ามคือเดือนกรกฎาคม เอกสารระบุว่าเดลล์จะใช้ชื่อ “Wrigley” และทำตลาดในฐานสมาร์ทโฟนวินโดวส์โฟน 7 ยุคหน้า มาพร้อมโปรเซสเซอร์ 1GHz หน้าจอ WVGA ขนาด 4 นิ้ว กล้อง 8 ล้านพิกเซล สามารถบันทึกภาพวิดีโอความละเอียดสูง 720p มาพร้อมคีย์แพด QWERTY สไลด์

คาดว่าเดือนสิงหาคม-กันยายน เดลล์จะส่ง “Hancock” สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่พร้อมคีย์แพด QWERTY สไลด์อีกรุ่นที่จะใช้แอนดรอยด์เวอร์ชันถัดไปคือ "Ice Cream" คาดกันว่ากูเกิลจะเปิดตัวระบบปฏิบัติการนี้ในงานประชุมนักพัฒนาซึ่งกูเกิลจัดเป็นประจำทุกปีที่ซ่านฟรานซิสโกช่วงเดือนพฤษภาคม โดย Hancock จะใช้โปรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ หน้าจอ 4 นิ้ว กล้อง 8 ล้านพิกเซลด้านหลัง และ 1.3 ล้านพิกเซลด้านหน้า ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง 1080p

สุดท้ายคือ "Millennium" สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ Ice Cream ซึ่งคาดว่าเดลล์จะเปิดตัวเดือนตุลาคมปีนี้ นอกจากโปรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ เดลล์จะใช้หน้าจอขนาด 4.3 นิ้ว นอกนั้นจะมีคุณสมบัติคล้าย Hancock แต่จะพิเศษที่การรองรับ DLNA (Digital Living Network Alliance) เพื่อให้ผู้ใช้เล่นไฟล์มัลติมีเดียบนอุปกรณ์ที่หลากหลายได้อย่างอิสระมากขึ้น ที่สำคัญคือความละเอียดหน้าจอของทั้ง Hancock และ Milennium คือ qHD หรือ 540 x 960 พิกเซล เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ใช้กันอยู่ในช่วง WVGA หรือ 480 x 800 พิกเซล

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ของเดลล์เป็นสิ่งที่น่าจับตา เนื่องจากหลายสำนักฟันธงว่าการเปลี่ยนแปลงมหาศาลในโลก “ไอทีเพื่อองค์กร” กำลังเกิดขึ้นเพราะเดลล์ เนื่องจากเดลล์เป็นบริษัทผู้ผลิตที่ได้รับความไว้วางใจขององค์กรทั่วโลก จนสามารถสร้างรายได้หลักจากองค์กรธุรกิจมายาวนานหลายปี การจัดทัพแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนของเดลล์ ย่อมหมายถึงอุปกรณ์เหล่านี้กำลังจะถูกส่งไปมีบทบาทมากขึ้นในโลกนักธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดอาจนำไปสู่ขาลงของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทีละน้อยอย่างไม่ต้องสงสัย

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

แจ้งเกิด "TouchPad" แท็บเล็ต webOS รุ่นแรกจากเอชพี

จอน รูบินสไตน์ (Jon Rubinstein) หัวหน้าหน่วยธุรกิจปาล์ม ซึ่งเป็นรองประธานอาวุโสของเอชพีในขณะนี้ บนเวทีเปิดตัว HP Touchpad แท็บเล็ต webOS ตัวแรกของโลก
แจ้งเกิดแล้วสำหรับผลงานของอดีตเจ้าพ่อผู้สร้างตำนาน"ปาล์ม"ในร่มเงาของเอชพี โดยยักษ์ใหญ่เอชพีได้ฤกษ์เปิดตัว 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ webOS ของปาล์มซึ่งเอชพีซื้อกิจการมาเมื่อปีที่แล้ว ในจำนวนนี้ 2 รุ่นเป็นโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่เห็นได้ชัดว่ารับโอนสัญชาติมาจากสมาร์ทโฟนตระกูล "Palm Pre" อีก 1 เป็นแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ที่เอชพีให้ชื่อเรียกว่า "ทัชแพด (TouchPad)" ซึ่งคาดกันว่าเป็นหมัดตรงที่เอชพีตั้งใจส่งมาสู้กับไมโครซอฟท์ แอปเปิล และกูเกิล

เบ็ดเสร็จแล้ว กองทัพผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ webOS ของเอชพีมีทั้งสิ้น 3 รุ่น ได้แก่ HP Veer, HP Pre 3 และ HP TouchPad ทั้งหมดคาดว่าจะวางตลาดได้ในช่วงฤดูร้อนปีนี้

ผู้บริหารเอชพีระบุว่า webOS ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 รุ่นนี้คือเวอร์ชันเดียวกับที่ปาล์มเคลใช้ในสมาร์ทโฟน Palm Pre 2 และ Pixi ช่วงที่เอชพียังไม่เข้าซื้อกิจการปาล์ม โดยนอกจากสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต เอชพีมีแผนจะติดตั้ง webOS เวอร์ชันหน้าลงในคอมพิวเตอร์พีซีด้วย

HP Veer หรือ "Pre ย่อส่วน"

HP Veer ถูกพัฒนาให้มีขนาดเล็กกระทัดรัดพกพาง่าย มาในทรงสไลด์บนหน้าจอทัชสกรีนขนาด 2.6 นิ้ว ความละเอียด 320x400 พิกเซล ใช้หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon ความเร็ว 800MHz

Veer มีกล้องดิจิตอล 5 ล้านพิกเซลและมีหน่วยความจำในเครื่อง 8GB ภายในฝาสไลด์คือแผงคีย์บอร์ด Qwerty ซึ่งถอดแบบ Pre มาไม่มีผิดเพี้ยน

HP Pre 3 หรือ "Pre เพื่อนักธุรกิจ"

เอชพียอมรับว่า HP Pre 3 เป็นเวอร์ชันต่อจาก Pre 2 ซึ่งถูกแก้ไขปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในสมาร์ทโฟนตระกูล Pre ตัว Pre 3 ใช้หน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon ความเร็ว 1.4GHz ถือเป็นความโดดเด่นที่ Pre 3 สามารถเรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควร

Pre 3 ได้รับการการันตีว่ารองรับทั้งเครือข่าย GSM และ CDMA มีแรม 512MB หน่วยความจำภายในให้เลือก 2 ระดับคือ 8GB และ 16GB มาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 3.6 นิ้ว ความละเอียด 800x480 พิกเซล รวมถึงกล้องดิจิตอลสองตัวหน้าหลัง เบื้องต้นข้อมูลระบุว่ากล้องหลังมีความละเอียด 5 ล้านพิกเซลเท่า HP Veer แต่รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง HD ได้

HP TouchPad ตัวแรกแจ้งเกิด

แท็บเล็ต webOS ตัวแรกของโลกนี้มีหน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 1024x768 พิกเซล ใช้หน่วยประมวลผลดูอัลคอร์ Qualcomm Snapdragon ความเร็ว 1.2GHz หน่วยความจำ 16GB และ 32GB

กล้องหน้าของ TouchPad มีความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซล ผู้ใช้สามารถเพลิดเพลินกับเกมและนานาแอปพลิเคชันได้ไม่ต่างจากแท็บเล็ตรายอื่น เพราะเอชพีจัดเทคโนโลยี Gyroscope มาไว้ใน TouchPad เรียบร้อย จุดนี้เอชพีระบุว่าจะชิมลางตลาด TouchPad ด้วยรุ่นที่รองรับ Wi-Fi ช่วงฤดูร้อนปีนี้ ก่อนที่รุ่น 3G และ 4G จะตามมาทีหลัง

ผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 รุ่นได้รับการยืนยันว่าสามารถทำงานได้กับเครื่องพิมพ์ไร้สายของเอชพี สามารถแสดงผลวิดีโอที่ใช้เทคโนโลยีแฟลช (Flash) แถมยังเชื่อมต่อข้อมูลกันได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟน HP Veer และ HP Pre 3 จะสามารถตอบข้อความได้บน HP TouchPad โดยตรง

ทั้งหมดนี้ จอน รูบินสไตน์ (Jon Rubinstein) หัวหน้าหน่วยธุรกิจปาล์มของเอชพีย้ำว่าความสัมพันธ์ระหว่างเอชพีและไมโครซอฟท์จะยังเหมือนเดิม แม้เอชพีจะหันมาทำตลาดที่ใช้ระบบปฏิบัติการอื่นที่ไม่ใช่วินโดวส์ โดยผลิตภัณฑ์วินโดวส์ของเอชพีจะเริ่มทยอยตลาดต่อไปเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

บริษัทวิจัยฟอร์เรสเตอร์รีเสิร์ช (Forrester Research) ประมาณการณ์ว่าปี 2011 ยอดจำหน่ายคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตในสหรัฐฯจะมีจำนวนราว 24 ล้านเครื่อง ตัวเลขนี้ถือเป็นความท้าทายที่เย้ายวนของทั้งปาล์มและเอชพี ซึ่งยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในตลาดสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากไอดีซีพบว่า สัดส่วนตลาดของทั้ง 2 บริษัทในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2010 นั้นยังมีจำนวนไม่ถึง 1%
HP TouchPad
HP Veer และ HP Pre3
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

แอปเปิลคลอดระบบสมาชิก จับตลาดนสพ.-นิตยสารบนไอโฟน/ไอแพด

แอปเปิล (Apple) เปิดตัวนโยบายระบบสมาชิกเพื่อการซื้อขายหนังสือพิมพ์และนิตยสารบนแอปพลิเคชันไอโฟน (iPhone) และไอแพด (iPad) อย่างเป็นทางการ กำหนดให้สำนักพิมพ์จำหน่ายคอนเทนต์ในรูปแบบสมาชิกรายสัปดาห์ รายเดือน รายปี หรือตามแต่ช่วงเวลาที่ต้องการแทนการเสนอขายเป็นรายเล่มอย่างเคย บนความหวังในการช่วยให้สำนักพิมพ์สามารถสร้างรายได้จากสินค้ายอดนิยมของแอปเปิลได้ง่ายขึ้น
บทสรุปคือ ร้านแอปสโตร์ (App Store) ของแอปเปิลจะมีบริการครบวงจรเพื่อการสมัครสมาชิกซื้อคอนเทนต์ดิจิตอลโดยที่ผู้บริโภคไม่ต้องเปลี่ยนไปที่เว็บไซต์ใด ทั้งหมดนี้ แอปเปิลระบุว่าการนำระบบสมาชิกมาใช้ในการซื้อขายคอนเทนต์ประเภทหนังสือพิมพ์และนิตยสารจะช่วยอำนวยความสะดวกให้สำนักพิมพ์สามารถจำหน่ายหนังสือดิจิตอลได้มากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคก็จะมี"ฮับ"หรือศูนย์กลางสมัครรับคอนเทนต์ที่ใช้งานง่ายและคุ้นเคย

อย่างไรก็ตาม สำนักพิมพ์จะถูกหักส่วนแบ่งการขายคอนเทนต์ราว 30% และไม่ได้รับอนุญาตให้เก็บข้อมูลผู้สมัครสมาชิกบริการไว้เอง จุดนี้แอปเปิลให้เหตุผลว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคเดือดร้อนรำคาญจากการตลาดไม่พึงประสงค์ โดยแอปเปิลหาทางออกด้วยการเปิดให้สมาชิกซึ่งสมัครบริการผ่านแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์แอปเปิล สามารถเลือกตั้งค่าส่งข้อมูลส่วนตัวให้กับสำนักพิมพ์ได้ด้วยตัวเอง แต่หากผู้บริโภคไม่ได้ตั้งค่าไว้ แอปเปิลให้คำมั่นว่าจะเก็บข้อมูลไว้เองโดยไม่มีการส่งผ่านไปยังผู้ให้บริการรายอื่นแน่นอน

สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างคำถามคาใจให้กับสำนักพิมพ์ โดยไทมส์ (Times Inc.) เจ้าของลิขสิทธิ์นิตยสารชื่อดังอย่าง Sports Illustrated และ People แสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายการห้ามเข้าถึงข้อมูลสมาชิกบริการของแอปเปิล ย้ำว่าที่ผ่านมา Sports Illustrated ยังสามารถขายสมาชิกโดยที่บริษัทสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้ตามต้องการได้อย่างไม่มีปัญหา โดยเป็นลูกค้ากลุ่มที่ใช้คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตระบบปฏิบัติการของกูเกิล คู่แข่งของแอปเปิล

สำหรับส่วนแบ่ง 30% ไม่มีเสียงท้วงติงใดๆเนื่องจากสัดส่วนดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานของแอปเปิลซึ่งจะหัก 30% จากยอดจำหน่ายแอปพลิเคชันและคอนเทนต์ต่างๆซึ่งวางจำหน่ายผ่านร้านไอจูนส์ (iTunes) ของแอปเปิลอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เจ้าของนิตยสารที่ไม่ต้องการทนให้แอปเปิลหักส่วนแบ่งในสัดส่วนมหาโหดนี้สามารถขายสมาชิกผ่านช่องทางอื่นที่ไม่ใช่แอปพลิเคชันในแอปสโตร์ได้เช่นกัน โดยอาจจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ธรรมดาทั่วไป

ซีอีโอแอปเปิล "สตีฟ จ็อบส์" ผู้รอดชีวิตจากโรคมะเร็งตับอ่อนและกำลังอยู่ระหว่างการพักรักษาสุขภาพในขณะนี้แสดงความมั่นใจว่า ระบบสมาชิกนี้จะเป็นโอกาสครั้งใหม่ของสำนักพิมพ์ในการเข้าถึงกลุ่มตลาดผู้ใช้สินค้าแอปเปิลทั่วโลก

ความเคลื่อนไหวนี้ของแอปเปิลเกิดขึ้นหลังการเปิดตัวหนังสือพิมพ์ที่สร้างมาเพื่อไอแพดฉบับแรกของโลกของนิวส์คอร์ป (News Corp) นามว่า "เดอะเดลี (The Daily)" เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเดอะเดลีจะเป็นหนังสือดิจิตอลแรกที่ใช้ระบบสมาชิกของแอปเปิลซึ่งเพิ่งประกาศเปิดตัวนี้

ธุรกิจหนังสือดิจิตอลบนสินค้าแอปเปิลเช่นไอโฟน ไอแพด หรือไอพอดทัช ไม่ได้ถูกมองว่าจะสามารถสร้างรายได้จากขายสมาชิกรับคอนเทนต์เท่านั้น แต่รายได้จากการโฆษณายังเป็นอีกแหล่งรายได้ที่คาดว่าจะสามารถชุบชีวิตให้กับธุรกิจสิ่งพิมพ์ยุคเก่าซึ่งชะลอตัวอยู่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวนี้จะไม่ได้ส่งผลดีต่อเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์เท่านั้น แต่จะตกถึงมือแอปเปิลอย่างไม่ต้องสงสัย โดยล่าสุด แอปเปิลสามารถครองตำแหน่งบริษัทสัญชาติอเมริกันที่มีมูลค่าหุ้นสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากบริษัทพลังงานอย่างเอ็กซอนโมบิล (Exxon Mobil Corp.) สถิติรายได้ต่อปีคือ 65,000 ล้านเหรียญ มูลค่าตลาด 330,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

แอลจีจับมือยูทูบดัน"มือถือ 3 มิติ"

แอลจี (LG) ยืนยันแผนยึดหัวหาดสมาร์ทโฟน 3 มิติด้วยการประกาศความร่วมมือกับยูทูบ (YouTube) บริการวิดีโอออนไลน์ยอดฮิต ผลคือไม่เพียงผู้ใช้"แอลจีออปติมุสทรีดี (LG Optimus 3D)"จะสามารถถ่ายและเล่นวิดีโอภาพ 3 มิติได้แล้ว ยังสามารถอัปโหลดวิดีโอ 3 มิติขึ้นสู่ยูทูบได้โดยตรง เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ให้แก่ผู้ใช้อุปกรณ์ชมภาพ 3 มิติรายอื่นๆ

แอลจีการันตีว่า ความร่วมมือระหว่างแอลจีและยูทูบจะนำไปสู่ยุคใหม่แห่งประสบการณ์ 3 มิติบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่แท้จริง โดยนักวิเคราะห์เชื่อกันว่า ความง่ายและความสะดวกในการแบ่งปันวิดีโอ 3 มิติด้วยยูทูบ จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนคอนเทนต์ 3 มิติในออปติมุสทรีดีได้

นอกจากความร่วมมือนี้ แอลจีได้เปิดเผยรายละเอียดแอลจีออปติมุสทรีดีในงานมหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่โลกหรือ Mobile World Congress (MWC 2011) ที่กรุงบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ว่าแอลจีออปติมุสทรีดีจะมาพร้อมชิปดูอัลคอร์ 1GHz TI OMAP 4 บนหน้าจอสัมผัสแบบ Stereo display (สำหรับแสดงภาพ 3 มิติ) ความละเอียด 800x480 WVGA ขนาดใหญ่ 4.3 นิ้ว

จุดเด่นของออปติมุสทรีดีคือการใช้ชิปกราฟิก PowerVR SGX540 เพื่อให้แอลจีสามารถสู้กับคู่แข่งสัญชาติเดียวกันอย่างแกลเล็กซีเอส (Galaxy S) ของซัมซุงได้สูสียิ่งขึ้น มีไดร์ฟ SOC ซึ่งทำให้โทรศัพท์สามารถแสดงผลแบบ 3 หน้าจอ โดยนอกจากคุณสมบัติพื้นฐานที่มีในสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ทุกรุ่น ออปติมุสทรีดียังมีจุดแข็งที่ความสามารถในการรองรับไฟล์วิดีโอที่หลากหลาย แม้ขณะนี้จะรองรับวิดีโอได้เพียง 8 รูปแบบเท่านั้น

ออปติมุสทรีดีมาพร้อมกล้อง 2 เลนส์เพื่อการถ่ายภาพ 3 มิติ มีช่องต่อ HDMI เรียบร้อย รองรับ DLNA เพื่อส่งคอนเทนต์ไปเล่นบนอุปกรณ์อื่นๆได้แบบไร้สาย

นอกจากสมาร์ทโฟนสามมิติ แอลจียังเปิดเผยข้อมูลคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตซึ่งแอลจีจะส่งออกมาตีตลาดภายในปีนี้อย่างออปติมุสแพด (Optimus Pad) ด้วย เบื้องต้น แอลจีระบุว่าจะมาพร้อมชิปดูอัลคอร์ 1GHz NVIDIA Tegra 2 ใช้หน้าจอสัมผัส 8.9 นิ้ว ซึ่งแสดงภาพในอัตราส่วน 15:9 หรือไวด์สกรีน ความละเอียดจอภาพ 1280x768 WXGA

ผู้ใช้ออปติมุสแพดจะสามารถชมวิดีโอความละเอียดสูงเต็มขั้นหรือ Full HD ได้ ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 3.0 Honeycomb ตัวกล้องรองรับเทคโนโลยี 3 มิติเช่นกัน

แอลจีระบุว่าออปติมุสทรีดีจะเริ่มทำตลาดที่ยุโรปก่อนใคร ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ ขณะที่ออปติมุสแพดยังไม่มีการยืนยันกำหนดการจำหน่ายใดๆ
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

"แท็บเลต"แบรนด์เล็กชักแถวบุกไทย วิ่งหาตัวแทนขาย-"เอสไอเอส"ไม่สนแจงอายุไม่ยืน

สมรภูมิ "แท็บเลต" คึกคักแบรนด์เล็กหน้าใหม่ชิงลงมือเปิดทำตลาดก่อนที่ยักษ์ใหญ่จะส่งสินค้า เข้าตลาด"เอสไอเอส"

เผยผู้ผลิตจีนและอื่น ๆ เข้ามาจีบเป็นตัวแทน 7-8 แบรนด์ ชี้รายเล็กมีโอกาสทำตลาดช่วงเวลา สั้น ๆ ปลายปีก็จะหายไปจากตลาด เหตุยักษ์ใหญ่เตรียมขนสินค้าเข้าตลาดเต็มพิกัด โมโตโรล่าชิงส่ง Zoom เข้าตลาดไทย เม.ย.นี้ ด้าน "อาร์คอส" น้องใหม่สัญชาติฝรั่งเศส ไม่กลัวน้ำร้อนประเดิมส่งแท็บเลต 5 รุ่น ราคา เริ่มต้น 9,900 บาท
นาย สมชัย สิทธิชัยศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ เอสไอเอส บริษัทค้าส่งไอทีรายใหญ่กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ตลาดแท็บเลตในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ทำให้นอกจากผู้เล่นรายใหญ่ทั้งฝั่งมือถือและคอมพิวเตอร์ให้ความสนใจและ เตรียมส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดภายในกลางปีนี้ ขณะเดียวกัน ก็มีความเคลื่อนไหวของผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งสินค้าจากแบรนด์จีนและอื่น ๆ ต้องการเข้ามาเปิดตลาดแท็บเลตในไทยเพราะต่างเห็นโอกาสทางธุรกิจ โดยรายเล็ก ๆ นั้นจะอาศัยความได้เปรียบด้านความเร็วในการออกสินค้า และความคล่องตัวที่มีมากกว่าผู้ผลิตรายใหญ่

"ช่วงที่ผ่านมาเอสไอเอส ก็ได้รับการติดต่อจากผู้ผลิตแท็บเลตรายเล็ก ๆ ประมาณ 7-8 ราย เพื่อให้เป็นตัวแทนจำหน่าย แต่ได้ปฏิเสธไป เนื่องจากบริษัทเห็นแล้วว่าโรดแมปของสินค้า อินเตอร์แบรนด์หลายรายกำลังมา ทำให้ไม่กล้าทำตลาดยี่ห้อแปลก ๆ เพราะเวลาทำการค้าขายต้องรับผิดชอบเยอะ"

นอก จากนี้ ในระยะยาวตนเชื่อว่า ผู้ผลิตรายเล็ก ๆ อาจประสบความยากลำบากหลังจากผู้ผลิตรายใหญ่วางจำหน่ายสินค้าอย่างเป็นทางการ เพราะผู้เล่นหน้าใหม่ขาดความคุ้นเคยเรื่อง ช่องทางจำหน่าย ขณะเดียวกัน พฤติกรรมการซื้อแท็บเลตของผู้บริโภคส่วนมากลูกค้าจะศึกษาข้อมูลและเลือกแบ รนด์ที่ชื่นชอบ ลูกค้าที่จะซื้อแท็บเลตของผู้เล่นรายใหม่ ๆ อาจมีสัดส่วนน้อย

โดยประเมินว่าปี 2554 ตลาดแท็บเลตในไทยจะอยู่ที่ประมาณ 2 แสนเครื่อง ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกก่อนที่อินเตอร์แบรนด์จะส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดได้อย่าง เต็มที่ ก็น่าจะเป็นโอกาสของรายเล็ก ๆ ในการสร้างสีสันให้กับตลาด แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังก็จะค่อย ๆ หายไปจากตลาด

"ตลาดของแท็บเลตอาจจะเหมือนเน็ตบุ๊กที่ช่วงแรกจะมี ยี่ห้อประหลาด ๆ เข้ามา แต่สุดท้ายจะเหลือแบรนด์ใหญ่ที่มีความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นจากฝั่งผู้ผลิตมือถือหรือคอมพิวเตอร์ แต่สุดท้ายอินเตอร์แบรนด์จะครองสัดส่วนใหญ่ในตลาดเกือบ 100%"

อย่าง ไรก็ดี แท็บเลตของผู้เล่นรายต่าง ๆ ที่ออกสู่ตลาดในช่วงนี้ ส่วนใหญ่ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2.2 ซึ่งเหมาะกับสมาร์ทโฟนมากกว่าขณะที่ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.0 ซึ่งเหมาะสมกับแท็บเลตนั้น กูเกิลเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยมีโมโตโรล่าเป็นผู้ผลิตรายแรกบนแท็บเลตรุ่น "Zoom" จากนั้นค่อยเปิดโอกาสให้บริษัทอื่น ๆ ต่อไป

สำหรับประเทศไทย เอสไอเอสคาดว่าจะสามารถนำโมโตโรล่า Zoom เข้ามาทำตลาดได้ในช่วงเดือนเมษายน เนื่องจากบริษัทจะผลิตสินค้าป้อนตลาดสหรัฐก่อน

ด้านนายสุทธินัน ท์ สุพัสตราชีวะผู้จัดการทั่วไป บริษัท อาร์ซีคอมโปเนนท์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้นำแท็บเลตแบรนด์ "Archos" (อาร์คอส) เข้ามาทำตลาด กล่าวว่า บริษัทเป็นตัวแทน จำหน่ายอุปกรณ์ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ 2547 ปีนี้ได้เพิ่มสินค้าโดยเป็น ตัวแทนจำหน่ายแท็บเลตยี่ห้อ "Archos" จากประเทศฝรั่งเศสเข้ามาทำตลาดเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม ขณะเดียวกัน เห็น โอกาสการเติบโตของตลาดแท็บเลตในไทย แม้ว่าแบรนด์อาร์คอสจะยังไม่เป็นที่รู้จักกับลูกค้าในไทย ทำให้ต้องเน้นให้ความรู้ ณ จุดขายเป็นหลัก แต่ด้วยสินค้าที่ดีไซน์ยุโรป น้ำหนักเบา ราคาย่อมเยากว่าอินเตอร์แบรนด์ ทำให้เชื่อว่าจะมีลูกค้าบางส่วนที่ชื่นชอบ

สำหรับแท็บเลตอาร์คอส ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2.2 มาพร้อมกับขาตั้งในตัว แบตเตอรี่แบบลิเทียมโพลิเมอร์ นาน 8 ชั่วโมง เว็บแคมด้านหน้า รองรับไว-ไฟ บลูทูท และยูเอสบี พร้อม HDMI to TV ทั้งหมด 5 รุ่น ขนาด 4.3 นิ้ว ราคา 9,900 บาท ขนาด 7 นิ้ว ความจุ 8 GB ราคา 12,500 บาท ขนาด 7 นิ้ว ความจุ 250 GB ราคา 13,900 บาท และขนาด 10 นิ้ว ความจุ 8 GB ราคา 13,900 บาท และขนาด 10 นิ้ว 16 GB ราคา 15,900 บาท (ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) รับประกัน 1 ปี

ใน ช่วง 3 เดือนแรกจะเน้นการวางจำหน่ายร้านค้าใน กทม. 15-20 แห่ง โดยจะควบคุมให้ศูนย์ไอทีแต่ละแห่งมีร้านค้าที่ขายอาร์คอสไม่เกิน 2-3 ราย และกระจายตามหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น จากปัจจุบันมีร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั้งหมด 200 ร้าน หลังจากนั้นจะมีการจัดกิจกรรมการตลาดมากขึ้น และภายในปีนี้มีแผนจะนำเข้าแท็บเลตที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ แบรนด์ "Viliv" จากเกาหลีใต้เข้ามาจำหน่ายเพิ่มอีกแบรนด์
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

ซัมซุง Galaxy S2 และ Tab 10.1

เป็นไปตามที่หลายๆ สื่อคาดการณ์ไว้ เมื่อซัมซุงประกาศเปิดตัว "Galaxy S2" แอนดรอยด์โฟนรุ่นล่าสุด ภายในงาน Mobile World Congress 2011 ซึ่งจัดขึ้นเมืองบาเซโลน่า ประเทศสเปน พร้อมกันนี้ยังได้มีการเปิดตัวแท็บเล็ตตัวที่ 2 "Galaxy Tab 10.1" ที่มีหน้าจอขนาด 10.1 นิ้ว และใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.0

"Galaxy S2" มีตัวเครื่องที่บางเพียง 8.49มม., ใช้ซีพียู Snapdragon ดูอัลคอร์ ความเร็ว 1GHz, RAM 1GB, ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2.3 (Ginger Bread) มาพร้อมกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ระบบออโต้โฟกัส และกล้องตัวหน้าสำหรับวิดีโอ คอลล์ ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รวมถึงความสามารถในการรองรับเทคโนโลยี NFC ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้โทรศัพท์มือถือทำธุรกรรมการเงินได้ไม่ต่างจากบัตรเครดิต ตามที่เคยเป็นข่าวลือออกมาก่อนหน้านี้

ตัวเครื่องมีความบางเพียง 8.49 มิลลิเมตร หนัก 116 กรัม, ใช้หน้าจอแสดงผล Gorilla Glass Super AMOLED Plus ขนาด 4.3 นิ้ว และอินเตอร์เฟส Touchwiz 4.0 มีหน่วยความจำภายในขนาด 16กิกะไบต์ รองรับการเชื่อมต่อความเร็วสูง HSPA+ สูงสุด 21Mbps และบลูทูธ 3.0

พร้อมกันนี้ซัมซุงยังได้มีการเปิดตัวแท็บเล็ตตัวที่ 2 อย่าง Galaxy Tab 10.1 โดยจะใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 3.0 (Honeycomb), ซีพียู ดูอัลคอร์ความเร็ว 1GHz และมีกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแอลอีดี ที่สามารถถ่ายวิดีโอ Full HD 1080p ที่ 30fps

สำหรับในรุ่นใหม่นี้ซัมซุงได้มีการเพิ่มขนาดหน้าจอให้ใหญ่ขึ้นจาก 7 นิ้ว เป็น 10.1 นิ้วความละเอียด 1280x800 พิกเซล มีกล้องตัวหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล, มีตัวเครื่องที่บางลงจาก 11.98มม. ให้เหลือเพียง 10.9มม. มีน้ำหนักเบา 599 กรัม นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจำในตัวเครื่องให้เลือกทั้งแบบ 16GB และ 32GB, ลำโพงสเตอริโอ, รองรับการใช้งานบนคลื่นความถี่ 850/2100 และแบตเตอรีความจุ 6860mAh

โดยผลิตภัณฑ์ใหม่จากซัมซุงทั้ง 2 รุ่นที่มีการเปิดตัวในครั้งนี้ ยังไม่มีกำหนดการวางจำหน่ายในประเทศไทยออกมาเป็นที่แน่ชัด ซึ่งคาดว่าน่าจะหลังไตรมาสที่ 1 ของปี 2011

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

“ไอโฟนรุ่นเล็ก” พร้อมลุย

สื่อต่างประเทศฮือฮากันยกใหญ่หลังจากมีการตีพิมพ์ข่าวรั่วจากแอปเปิล ว่ายักษ์ใหญ่ค่ายผลไม้กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาไอโฟน (iPhone) รุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่าและราคาถูกลงเพื่อให้สามารถเข้าถึงตลาดแมสได้ดีกว่าเดิม งานนี้หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าสนุกแน่หากเป็นเรื่องจริง เพราะแอปเปิลจะสามารถแข่งขันกับมือถือแพลตฟอร์มแอนดรอยด์ (Android) ของกูเกิลได้เผ็ดมันยิ่งขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว แอปเปิลก็จะรับทรัพย์เต็มกระเป๋าได้จากยอดขายแอปพลิเคชันที่เพิ่มขึ้น บนฐานผู้ใช้ที่เป็นปึกแผ่นยิ่งกว่าเดิม

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวแอปเปิลซึ่งอ้างว่าได้เห็นต้นแบบ “ไอโฟนรุ่นเล็ก” แล้วเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมา รายงานว่าแอปเปิลกำลังเร่งพัฒนาไอโฟนรุ่นใหม่ที่มีขนาดที่เล็กกว่าและราคาถูกกว่าไอโฟนรุ่นปัจจุบัน และกำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้ไอโฟนสามารถสลับการทำงานบนเครือข่ายไร้สายไปมาได้ง่ายขึ้น

แหล่งข่าวให้ข้อมูลว่า ต้นแบบไอโฟนรุ่นเล็กที่เคยเห็นจากแอปเปิลนั้นมีขนาดเล็กกว่าไอโฟนปัจจุบันราว 1 ใน 3 ส่วน ไม่มีปุ่มโฮม หรือ home button ซึ่งผู้ใช้ไอโฟนทุกคนต้องกดเพื่อเข้าสู่หน้าโปรแกรมหลัก โดยจะใช้หน่วยประมวลผลและส่วนประกอบภายในที่ใกล้เคียงกับไอโฟนรุ่นปัจจุบัน

ที่น่าสนใจคือ ไอโฟนรุ่นนี้จะมาพร้อมเทคโนโลยีซิมการ์ดครอบจักรวาล หรือ Universal SIM ซึ่งมีข่าวลือว่าแอปเปิลกำลังพัฒนาอยู่เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้บริการและเปลี่ยนโปรโมชันข้ามเครือข่ายได้ตามใจชอบ โดยจุดประกายว่าจะช่วยลดต้นทุนการกระจายและการจัดการซิมการ์ดหลายล้านชิ้นทั่วโลก

แหล่งข่าวชี้ว่า ซีอีโอแอปเปิล สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ซึ่งยังมีบทบาทตัดสินใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลแม้จะลางานรักษาตัวอยู่ในขณะนี้ จะใช้ “กลยุทธ์ราคา” กำหนดราคาขายที่ต่ำกว่าเพื่อให้ไอโฟนรุ่นใหม่สามารถขยายฐานการใช้งานในวงกว้างขึ้น ซึ่งจะสามารถปกป้องไอโฟนให้พ้นจากวิกฤตสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไปเพราะฝีมือของอุปกรณ์แอนดรอยด์ แถมยังย้ำว่าแอปเปิลกำลังมีแนวคิดจำหน่ายไอโฟนในราคาราว 200 เหรียญ (ประมาณ 6,000 บาท) โดยไม่พ่วงสัญญา 2 ปีแบบที่เป็นในปัจจุบัน กำหนดการเปิดตัวแรกที่ถูกวางไว้คือกลางปีนี้ แต่คาดว่าจะถูกเลื่อนออกไป

การจำหน่ายไอโฟนรุ่นเล็กโดยไม่ผูกสัญญา 2 ปีสามารถทำได้หากราคาไอโฟนไม่สูงนัก และโอเปอเรเตอร์ไม่จำเป็นต้อง “ซับซิไดซ์” หรือสนับสนุนเงินช่วยเหลือเพื่อแลกกับการดึงผู้บริโภคมาผูกสัญญาใช้งาน ซึ่งหากไอโฟนสามารถจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่าเดิมได้ และผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องเซ็นสัญญาทาสจริง แรงกดดันย่อมตกอยู่ที่ยักษ์ใหญ่ในตลาดแมสอย่างโนเกียด้วย โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าตลาดยุโรปและตลาดเกิดใหม่เช่นจีนและอินเดีย ซึ่งแพลตฟอร์มซิมเบียน (Symbian) ของโนเกียได้รับความนิยมอย่างมากนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่นอน

ที่ผ่านมา แอปเปิลเคยประกาศว่าต้องการส่วนแบ่งในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่โลกเพียง 25% เท่านั้น แต่หากไอโฟนรุ่นเล็กสามารถแจ้งเกิดได้จริง นักวิเคราะห์เชื่อว่ามีโอกาสที่แอปเปิลจะขยายเป้าหมายใหม่เข้าใกล้ 100%

สิ่งที่ทำให้ข่าวรั่วเรื่องไอโฟนรุ่นเล็กมีน้ำหนัก คือการเทียบสัดส่วนตลาดที่ไอโฟนและแอนดรอยด์มี โดยไอโฟนมีส่วนแบ่งราว 16% เท่านั้นในไตรมาส 4 ปี 2010 ที่ผ่านมา น้อยกว่าแอนดรอยด์ซึ่งมีสัดส่วนราว 32.9%

นอกจากนี้ หากพิจารณาประวัติศาสตร์ของแอปเปิลจะพบว่าการประกาศคลอดสินค้าแบรนด์แอปเปิลรุ่นเล็กในราคาที่ต่ำกว่านั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เนื่องจากปี 2004 ซึ่งเป็นปีที่ iPod ราคา 299 เหรียญยังจำหน่ายได้ดี แอปเปิลก็ยังเปิดตัว iPod Mini ในราคา 250 เหรียญ หรือในปี 2005 ซึ่งเป็นช่วงที่ iPod Mini ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า iPod Nano ซึ่งมีราคาถูกกว่าก็แจ้งเกิดออกมา

แน่นอนว่าประชาสัมพันธ์ของแอปเปิล ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆกับรายงานของสื่อมวลชน

นี่ถือเป็นข่าวล่าสุดจากแหล่งข่าวนิรนามในแอปเปิล โดยก่อนหน้านี้แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุว่า iPad 2 แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ที่เชื่อกันว่าจะเป็นเวอร์ชันถัดไปของ iPad นั้นได้เริ่มเปิดสายการผลิตแล้ว ครั้งนั้นเป็นรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล ซึ่งระบุว่า iPad 2 นั้นมีความบางและน้ำหนักเบากว่าเดิม ความละเอียดหน้าจอภาพไม่เปลี่ยนแปลง ใช้หน่วยประมวลผลหรือซีพียู รวมถึงส่วนประกอบอื่นๆเช่น หน่วยประมวลผลภาพและหน่วยความสำรองที่เหนือกว่าเดิม

ยังมีข่าวลือว่าแอปเปิลกำลังวางแผนเปิดตัวคอมพิวเตอร์แมคอินทอชพกพา MacBook Pro รุ่นใหม่ในเดือนมีนาคมนี้ โดยอ้างข้อมูลแวดล้อมว่าสินค้าคงคลังของ MacBook Pro ตามตัวแทนจำหน่ายเริ่มลดจำนวนลง ขณะเดียวกันก็มีมือดีพบรายชื่อ MacBook Pro อยู่ในกลุ่มสินค้ามาใหม่ในฐานข้อมูลของตัวแทนจำหน่ายของแอปเปิล แถมระบบจองสินค้าของร้านออนไลน์ Apple Retail Store ก็ไม่ยอมให้มีการสั่งจอง MacBook Pro บางรุ่นแล้วในขณะนี้

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

หลุดภาพแรก Nokia-Wp7

จุดสนใจของอุตสาหกรรมโทรศัพท์ทั่วโลกในเวลานี้ กำลังจับตามองก้าวต่อไปหลังการร่วมมือของ โนเกีย (Nokia) และ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ในการนำ วินโดวส์ โฟน 7 (Windows Phone 7 : WP7) มาใช้งานกับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของโนเกีย

หลังจากงานแถลงข่าวไม่นาน เว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Engadget ได้มีการเปิดเผยภาพหลุด สมาร์ทโฟน WP7 ออกมาบนหน้าเว็บไซต์ โดยยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลตัวเครื่อง สเปก ราคา วันวางจำหน่ายแต่อย่างไร และกล่าวอ้างคำพูดของ สตีฟ บอลเมอร์ ซีอีโอ ไมโครซอฟท์ ที่บอกว่า ทั้ง 2 บริษัทใช้เวลาอย่างยาวนานก่อนมีการเปิดเผยความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อให้รูปดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ถ้าสังเกตจากรูปลักษณ์แล้ว เริ่มมีหลายกระแสออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงดีไซน์ที่หลุดออกมา บ้างก็ว่าเป็นการรวมตัวที่ดีของทั้งคู่ เนื่องจากยังคงเอกลักษณ์ของโนเกียอย่างเห็นได้ชัด รวมกับถ้าข้อกำหนดเรื่องสเปกขั้นต่ำของ WP7 ยังไม่หายไป แปลว่าผู้ใช้จะได้เห็นสุดยอดสมาร์ทโฟนภายใต้แบรนด์โนเกียที่ไม่กั๊กสเปก

ย้อนกลับไปมองถึงคุณสมบัติขั้นต่ำที่ไมโครซอฟท์เคยประกาศไว้ตอนเปิดตัว WP7 คือ เมื่อต้นปี 2010 ในงาน MWC (Mobile World Congress) ว่า ต้องประกอบไปด้วย 3 ปุ่มหลัก "home" "search" และ "back", หน้าจอสัมผัสความละเอียดสูง 480 x 800 พิกเซล, กล้องดิจิตอลอย่างต่ำ 5 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลช ทำให้รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูง 720p โดยจะติดตั้งคีย์บอร์ด QWERTY หรือไม่ก็ได้

ส่วนสเปกภายในต้องมีหน่วยประมวลผลความเร็วสูงกว่า 1GHz หน่วยความจำภายใน (RAM) เมื่อสังเกตจากทุกรุ่นที่ออกมาในตอนนี้อยู่คงไม่ต่ำกว่า 448MB ส่วน ROM เฉลี่ยส่วนใหญ่ในท้องตลาดจะอยู่ที่ 512 MB ดังนั้นถ้ามองไปตามความพัฒนาของเทคโนโลยีแล้ว จะได้เห็นมาพร้อมกับ ซีพียู ดูอัลคอร์ คงเป็นไปได้

กลับมาที่เรื่องของดีไซน์ในความเป็นจริงแล้วถ้ามองย้อนกลับไปถึงผลิตภัณฑ์ของโนเกียก่อนหน้านี้ จะพบว่า ภาพที่หลุดออกมานี้ มีส่วนผสมของการดีไซน์ โนเกีย N8 และ C7 และไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะมีรุ่นที่คล้ายคลึงกับ E7 ที่มาพร้อมกับคีย์บอร์ดที่จะเริ่มเข้ามาวางจำหน่ายในไทยช่วงเดือนมีนาคมนี้

จุดเด่นสำคัญของโนเกียที่ได้รับความตอบรับเป็นอย่างดีในรุ่นยอดนิยมอย่าง N8 คงหนีไม่พ้นความละเอียดของกล้องที่ใช้เลนส์ CarlZeiss คู่บุญของโนเกีย เมื่อตัวเครื่องมีสเปกสูงขึ้น ทำให้การใช้งานลื่นไหลขึ้น ทำให้การถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงขึ้นอาจะเป็นไปได้ก็ไม่แปลก

และจากที่โนเกียประกาศออกมาว่า จะเป็นการทำสมาร์ทโฟนในระดับไฮเอนด์ ดังนั้นคงคาดเดาได้ไม่ยากว่าตัวเครื่องจะมาพร้อมวัสดุอะลูมิเนียมที่มีความคงทนแข็งแรง ส่วนฝาหลังในส่วนที่เป็นสีๆ อาจะใช้พลาสติกคุณภาพสูงที่ใช้สีด้าน เพื่อไม่ให้มีรอยนิ้วมือติดได้ง่าย และช่วยให้สามารถจับใช้งานได้ถนัดขึ้น

จากรูปยังสังเกตเห็นได้อีกว่า ตัวเครื่องมาพร้อมพอร์ตไมโครยูเอสบี ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และปุ่มเปิด-ปิดเครื่องอยู่ด้านบน ที่ต้องลุ้นกันต่อไปคือจะมีปุ่มกล้องมาอำนวยความสะดวกในการใช้งานหรือไม่

ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

The Daily หนังสือพิมพ์เพื่อ iPad ฉบับแรกของโลก

Jon Miller ประธานฝ่าย Digital Media Group ของ News Corp กับ The Daily แอปพลิเคชันหนังสือพิมพ์เพื่อไอแพด (iPad) ฉบับแรกของโลก
รูเพิร์ต เมอร์ดอช (Rupert Murdoch) นักสื่อสารมวลชนชื่อก้องโลกประกาศเปิดตัว "The Daily" หนังสือพิมพ์เพื่อไอแพด (iPad) ฉบับแรกของโลกบนเงินทุนกว่า 30 ล้านเหรียญ มาในรูปแอปพลิเคชันอ่านข่าวซึ่งจะอัปเดทให้เฉพาะสมาชิกทุกวัน ถือเป็นการวางเดิมพันเพื่อลุ้นว่า อุปกรณ์ยอดฮิตอย่างไอแพดจะสามารถก่อร่างธุรกิจข่าวรูปแบบใหม่ในอนาคตได้หรือไม่ ประเดิมให้บริการก่อนในสหรัฐอเมริกา

ตามคาดหมาย แถลงการณ์ของเมอร์ดอชระบุว่า The Daily จะมีเนื้อหาครอบคลุมข่าวการเมืองในสหรัฐฯ ข่าวกีฬา จนถึงข่าวซุบซิบที่สร้างใหม่เพื่อแสดงผลบนไอแพดเท่านั้น สนนราคาสมาชิก 99 เซนต์ต่อสัปดาห์ (ราว 30 บาท) เฉลี่ยไม่ถึง 5 บาทต่อวัน คิดเป็น 39.99 เหรียญต่อปี คาดว่าแอปเปิล (Apple) จะดึงส่วนแบ่งไปราว 30% ในปีแรก โดยจะผสมผสานสื่อทั้งข้อความข่าว ภาพ และวิดีโอ ถือเป็นการปฏิรูปธุรกิจสื่อครั้งใหญ่ที่ทั้งโลกจับตามอง

อีกนัยสำคัญของ The Daily คือการเป็นบริการแรกในร้านไอจูนส์ของแอปเปิล (iTunes) ที่มีการสมัครสมาชิก โดย News Corp บริษัทลูกของเมอร์ดอชยอมรับว่า บริษัทมีแผนจะออกแอปพลิเคชันหนังสือพิมพ์รายวันบนแท็บเล็ตค่ายอื่นที่ไม่ใช่ไอแพด

เมอร์ดอชระบุว่าต้นทุนในการผลิต The Daily ต่อสัปดาห์นั้นอยู่ที่ 500,000 เหรียญสหรัฐ รายได้ที่วางไว้คาดว่าจะมาจากการโฆษณาและยอดสมัครสมาชิก โดยขณะนี้ The Daily มีพันธมิตรโฆษณารายใหญ่อย่าง HBO Virgin Atlantic Airways และ Range Rover แล้ว

ความเคลื่อนไหวนี้ของเมอร์ดอชถูกมองว่าเป็นความเสี่ยง เนื่องจาก The Daily มีความแตกต่างจากหัวหนังสือที่ News Corp สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำในปัจจุบันทั้ง Wall Street Journal หรือ Times of London เพราะไม่มีหลักประกันใดเลยว่าชาวออนไลน์จะยอมเสียเงินเพื่อซื้อข่าวในรูปแบบดิจิตอลของ The Daily โดยที่ผ่านมา รูปแบบการเก็บค่าบริการข่าวออนไลน์บนเว็บไซต์ของ News Corp นั้นไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร ขณะที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่เลือกบริโภคข่าวฟรีกับสำนักข่าวอื่นมากกว่า

นอกจากนี้ The Daily ยังมีกลุ่มตลาดที่จำกัด โดยผู้ใช้งานไอแพดจำนวน 15 ล้านเครื่องในขณะนี้ถือเป็นตัวเลขที่น้อยเกินกว่าจะเทียบกับจำนวนผู้บริโภคข่าวสารมหาศาลในปัจจุบัน
ที่มาโดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ฟรีบริการเก็บสถิติเว็บไซด์ FlashSanook แฟลชเกมสนุกของคนออนไลน์